ข้อดีและข้อเสียของการคุมกำเนิดฉุกเฉินด้วยห่วงอนามัย
รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิง นงลักษณ์ สุขวาณิชย์ศิลป์หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
การคุมกำเนิดฉุกเฉินเป็นการคุมกำเนิดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ไว้ก่อนหรือวิธีที่ใช้ป้องกันอยู่นั้นล้มเหลว วิธีที่ใช้กันมากคือการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ซึ่งยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดที่ใช้กันมากในบ้านเราคือยาเลโวนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) นอกจากการรับประทานยาแล้วการใส่ห่วงอนามัยเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการคุมกำเนิดฉุกเฉินได้และเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนี้ แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก อีกทั้งมีข้อจำกัดในด้านความไม่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายมากเมื่อเทียบกับการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ในบทความนี้จะให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับห่วงอนามัย ชนิดของห่วงอนามัยที่นำมาใช้ในการคุมกำเนิดฉุกเฉิน ผู้ที่เหมาะกับการคุมกำเนิดฉุกเฉินด้วยห่วงอนามัย การออกฤทธิ์ของห่วงอนามัย ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ ผลไม่พึงประสงค์ ตลอดถึงข้อดีและข้อเสียของการคุมกำเนิดฉุกเฉินด้วยห่วงอนามัย
การคุมกำเนิดฉุกเฉินคืออะไร?
การคุมกำเนิดฉุกเฉิน (emergency contraception หรือ post-coital contraception) หมายถึงการคุมกำเนิดที่ดำเนินการหลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้วเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดการณ์ การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน การถูกล่วงละเมิดทางเพศ การลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด การคุมกำเนิดด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง การคุมกำเนิดล้มเหลว (เช่น ถุงยางอนามัยชำรุด)
การคุมกำเนิดฉุกเฉินมีวิธีใดบ้าง?
การคุมกำเนิดฉุกเฉินทำได้โดยการรับประทานยาซึ่งมีหลายชนิดและการใส่ห่วงอนามัย ดังที่จะกล่าวถึงข้างล่างนี้
- ยาเม็ดฮอร์โมนรวม (combined estrogen and progestin emergency contraceptive pills หรือ Yuzpe regimen) มีตัวยาที่เป็นฮอร์โมนประเภทเอสโตรเจน (estrogens) ผสมกับฮอร์โมนประเภทโพรเจสติน (progestins) ซึ่งโพรเจสตินเป็นกลุ่มฮอร์โมนที่สังเคราะห์ขึ้นและมีฤทธิ์เลียนแบบโพรเจสเตอโรน (progesterone) ในร่างกาย เดิมยาเม็ดฮอร์โมนรวมที่นำมาใช้คุมกำเนิดฉุกเฉินเป็นสูตรที่แต่ละเม็ดมีเอทินิลเอสตราไดออล (ethinyl estradiol) 100 ไมโครกรัมผสมกับนอร์เจสเตรล (dl-norgestrel) 1 มิลลิกรัม ปัจจุบันเป็นสูตรที่แต่ละเม็ดมีเอทินิลเอสตราไดออล 100 ไมโครกรัมผสมกับเลโวนอร์เจสเตรล 0.5 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 1 เม็ด โดยเริ่มรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่ได้ป้องกัน และรับประทานอีก 1 เม็ดห่างจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง (ทั้งหมดรวมเป็น 2 เม็ด) ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวมนี้มีใช้มานานแล้ว ปัจจุบันได้รับความนิยมลดลงเนื่องจากมีประสิทธิภาพต่ำกว่าการคุมกำเนิดวิธีอื่นและมีอาการไม่พึงประสงค์ค่อนข้างมาก
- ยาเม็ดที่มีฮอร์โมนประเภทโพรเจสตินอย่างเดียว (progestin-only emergency contraceptive pills) ตัวยาได้แก่ เลโวนอร์เจสเตรล ซึ่งเป็นชนิดที่ใช้กันมากในบ้านเรา ผลิตออกจำหน่าย 2 ความแรง คือ เม็ดละ 0.75 และ 1.5 มิลลิกรัม ขนาดยาที่ใช้เพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉินคือ 1.5 มิลลิกรัม ให้เริ่มรับประทานโดยเร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่ได้ป้องกัน หากเป็นขนาด 1.5 มิลลิกรัมให้รับประทานเพียง 1 เม็ด หากเป็นขนาด 0.75 มิลลิกรัมให้รับประทานเม็ดที่สองห่างจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง
- ยาเม็ดชนิดต้านโพรเจสติน (emergency contraceptive pills containing an antiprogestin) ตัวยาได้แก่ ไมเฟพริสโตน (mifepristone) และยูลิพริสตัลแอซิเตต (ulipristal acetate) ยาชนิดแรกมีฤทธิ์แรงและมีการใช้เป็นยาทำแท้งในช่วงต้นของไตรมาสแรก จึงเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ยาไม่เป็นที่ยอมรับในการนำมาใช้คุมกำเนิดฉุกเฉิน ส่วนยายูลิพริสตัลแอซิเตตใช้ในขนาด 30 มิลลิกรัม ให้เริ่มรับประทานเร็วโดยที่สุดภายใน 120 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่ได้ป้องกัน มีประสิทธิภาพสูงกว่ายาเลโวนอร์เจสเตรลแต่ด้อยกว่าการใส่ห่วงอนามัยหุ้มทองแดง
- ห่วงอนามัย (intrauterine device หรือ IUD) ซึ่งชนิดที่นำมาใช้เพื่อการคุมกำเนิดฉุกเฉินในปัจจุบันคือห่วงอนามัยหุ้มทองแดง และเป็นชนิดเดียวกันกับห่วงอนามัยที่ใช้ในการคุมกำเนิดระยะยาว รายละเอียดเรื่องห่วงอนามัยมีกล่าวต่อไป
วิธีคุมกำเนิดฉุกเฉินที่ยอมรับให้ใช้ได้ในแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน สำหรับวิธีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยอมรับ ได้แก่ การรับประทานยา ซึ่งอาจเป็นชนิดฮอร์โมนรวมที่มีเอทินิลเอสตราไดออลผสมกับเลโวนอร์เจสเตรล หรือยาเลโวนอร์เจสเตรลอย่างเดียว หรือยายูลิพริสตัลแอซิเตต และการใส่ห่วงอนามัยหุ้มทองแดง การคุมกำเนิดฉุกเฉินด้วยวิธีที่กล่าวมานี้หากตัวอ่อนมีการฝังตัวแล้วจะไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นการคุมกำเนิดฉุกเฉินจึงไม่ใช่การทำแท้ง
ห่วงอนามัยคืออะไร?
ห่วงอนามัยหรือห่วงคุมกำเนิด (intrauterine device หรือ IUD) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กสำหรับใส่เข้าในโพรงมดลูกเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ระยะยาว แต่ห่วงอนามัยบางชนิดนำมาใช้เพื่อการคุมกำเนิดฉุกเฉินด้วย ห่วงอนามัยมีหลากหลายชนิดและมีรูปร่างแตกต่างกัน สามารถโค้งงอได้โดยไม่หัก ห่วงอนามัยที่ใช้กันมากในปัจจุบันมีรูปร่างคล้ายอักษรตัวที (T-shaped IUD), อักษรตัวยู (U-shaped IUD) หรือคล้ายร่ม และอักษรตัววาย (Y-shaped IUD) ซึ่งอาจจัดรวมเป็นว่าคล้ายอักษรตัวทีก็ได้ (รูปที่ 1) ตรงปลายแกนแนวตั้งอาจทำเป็นปุ่มเพื่อกันไม่ให้ห่วงอนามัยหลุดจากปากมดลูก และตรงปลายแกนมีเส้นไนลอนคล้ายเส้นด้ายผูกไว้ 1 หรือ 2 เส้น ชนิดที่มีรูปร่างคล้ายอักษรตัวทีมีความกว้าง 28-32 มิลลิเมตรและความยาว 30-36 มิลลิเมตร หากเป็นชนิดที่มีรูปร่างคล้ายอักษรตัวยูหรือตัววายมีความกว้าง 18-24 มิลลิเมตร ส่วนความยาวใกล้เคียงกับชนิดที่มีรูปร่างคล้ายอักษรตัวที ใส่เข้าในโพรงมดลูกโดยผ่านอุปกรณ์สอด (inserter) ห่วงสามารถใส่อยู่ในโพรงมดลูกได้พอดี โดยมีเส้นไนลอนยื่นพ้นปากมดลูกเข้ามาในช่องคลอดราว 2-3 เซนติเมตร (เพื่อช่วยในการตรวจตำแหน่งห่วงอนามัยและการเอาห่วงออกในภายหน้า) ห่วงอนามัยมีทั้งชนิดที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ (inert IUD) และชนิดที่มีสารออกฤทธิ์ ซึ่งชนิดที่มีสารออกฤทธิ์แบ่งออกเป็น (1) ห่วงอนามัยหุ้มทองแดง (copper-containing intrauterine device หรือ intrauterine coil) ซึ่งมีสารออกฤทธิ์คือทองแดงในรูปมีประจุ (copper ions) และ (2) ห่วงอนามัยที่มีฮอร์โมน (hormonal intrauterine device หรือ intrauterine system) ซึ่งชนิดที่ใช้ในปัจจุบันมีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลเป็นสารออกฤทธิ์
ห่วงอนามัยหุ้มทองแดงเป็นชนิดที่นำมาใช้ในการคุมกำเนิดฉุกเฉิน
แม้ว่าห่วงอนามัยที่ใช้เพื่อการคุมกำเนิดระยะยาวจะมีหลายชนิด แต่ชนิดที่องค์การอนามัยโลกยอมรับให้ใช้เพื่อการคุมกำเนิดฉุกเฉินได้ในขณะนี้คือห่วงอนามัยหุ้มทองแดง ซึ่งมีจำหน่ายหลายยี่ห้อและมีพื้นที่ผิวทองแดงแตกต่างกัน (200-380 ตารางมิลลิเมตร) อย่างไรก็ตามเมื่อเร็ว ๆนี้มีรายงานการศึกษาถึงประสิทธิภาพของห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลขนาด 52 มิลลิกรัมในการคุมกำเนิดฉุกเฉิน โดยเปรียบเทียบกับห่วงอนามัยหุ้มทองแดงชนิดที่มีพื้นที่ผิวทองแดง 380 ตารางมิลลิเมตร ผลการศึกษาพบอัตราการตั้งครรภ์ 0.3% (1 คนจากทั้งหมด 317 คน) ในผู้ที่ใช้ห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรล เทียบกับอัตราการตั้งครรภ์ 0% (0 คนจากทั้งหมด 321 คน) ในผู้ที่ใช้ห่วงอนามัยหุ้มทองแดง การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรลในขนาดดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดฉุกเฉินเช่นเดียวกัน
การคุมกำเนิดฉุกเฉินด้วยห่วงอนามัยเหมาะกับใคร?
ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกรายที่ต้องการคุมกำเนิดฉุกเฉินสามารถใส่ห่วงอนามัยได้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก หรือเป็นผู้ที่มีความประสงค์จะคุมกำเนิดต่อเนื่องไปในระยะยาว ทั้งนี้ผู้ที่จะใส่ห่วงอนามัยต้องไม่มีข้อห้ามตามที่กล่าวถึงข้างล่างนี้
ผู้ที่ห้ามใส่ห่วงอนามัยเพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉิน ได้แก่ผู้ที่อยู่ในภาวะหรือมีความผิดปกติเหล่านี้
- ตั้งครรภ์หรือมีความเสี่ยงว่าตั้งครรภ์
- แพ้ต่อส่วนประกอบใด ๆของห่วงอนามัย
- มีการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน หรือเป็นโรคติดเชื้อในทางเดินระบบสืบพันธุ์ เช่น ปากมดลูกอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ หรือมีการติดเชื้อบริเวณใด ๆของระบบสืบพันธุ์ส่วนล่าง หรือมีเหตุใดก็ตามที่ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
- มดลูกมีความผิดปกติมาแต่กำเนิดชนิดที่ทำให้โพรงมดลูกมีลักษณะบิดเบี้ยวจนยากต่อการใส่ห่วงอนามัย
- มีภาวะเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เป็นโรควิลสัน (Wilson disease) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมทำให้มีการสะสมของทองแดงมากเกินไปที่อวัยวะสำคัญหลายแห่ง
เริ่มใส่ห่วงอนามัยเพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉินได้เมื่อไร?
การคุมกำเนิดฉุกเฉินด้วยห่วงอนามัยให้เริ่มใส่ห่วงภายใน 5 วันหรือ 120 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่ได้ป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ แม้บางการศึกษาพบว่าการเริ่มใส่ห่วงอนามัยหลังจากมีเพศสัมพันธ์เกินกว่า 5 วัน (6-14 วัน) ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ แต่ข้อมูลยังมีจำกัด อีกทั้งอาจเสี่ยงต่อการใช้เกินวัตถุประสงค์ของการคุมกำเนิดฉุกเฉิน ด้วยเหตุนี้จึงไม่แนะนำให้เริ่มใส่ห่วงเกินเวลาที่กำหนดข้างต้น
ห่วงอนามัยหุ้มทองแดงออกฤทธิ์คุมกำเนิดฉุกเฉินอย่างไร?
ห่วงอนามัยหุ้มทองแดงออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันทีที่เริ่มใส่ห่วง โดยการปล่อยทองแดงในรูปมีประจุ ซึ่งเป็นพิษต่อตัวอสุจิและไข่ ทำให้ตัวอสุจิในโพรงมดลูกเคลื่อนที่ไม่ได้และไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ นอกจากนี้ยังทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมสำหรับรองรับการฝังตัวของตัวอ่อน ด้วยเหตุนี้แม้ว่าการปฏิสนธิเกิดขึ้นได้แต่ตัวอ่อนจะไม่สามารถฝังตัวจึงไม่เกิดการตั้งครรภ์ ทองแดงในรูปมีประจุไม่รบกวนตัวอ่อนที่ฝังตัวได้แล้วจึงไม่มีฤทธิ์ในการทำให้แท้งบุตร
ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของห่วงอนามัยหุ้มทองแดง
การใส่ห่วงอนามัยหุ้มทองแดงเพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉินให้เริ่มใส่ห่วงภายใน 5 วันหรือ 120 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้ว มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงมาก ข้อมูลจากการศึกษาพบว่าการใส่ห่วงอนามัยชนิดที่มีพื้นที่ผิวทองแดง 220, 375 และ 380 ตารางมิลลิเมตร มีอัตราล้มเหลวหรือเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น (observed pregnancy rate) ประมาณ 0.1% หรือน้อยกว่านี้ ซึ่งคิดเป็นอัตราล้มเหลวคาดการณ์ (expected pregnancy rate) ได้น้อยกว่า 1% ส่วนการรับประทานยาเลโวนอร์เจสเตรลเพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น แม้บางการศึกษาที่รายงานว่าให้ประสิทธิภาพดีในการป้องกันการตั้งครรภ์ยังพบอัตราล้มเหลวหรือเกิดการตั้งครรภ์ได้ถึง 1-2% ซึ่งคิดเป็นอัตราล้มเหลวคาดการณ์ได้ประมาณ 5% ซึ่งสูงกว่าการใส่ห่วงอนามัยหุ้มทองแดง ข้อมูลด้านประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินในแต่ละการศึกษามีการรายงานค่าที่แตกต่างกัน เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา นอกจากนี้การศึกษาที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดฉุกเฉินวิธีต่าง ๆไม่ได้ทำการเปรียบเทียบกับยาหลอกเนื่องด้วยเหตุผลทางด้านจริยธรรม
ห่วงอนามัยเอาออกได้เมื่อไร?
การใส่ห่วงอนามัยและการเอาห่วงออกทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการฝึก ในกรณีที่ใส่ห่วงอนามัยเพียงเพื่อการคุมกำเนิดฉุกเฉินเฉพาะคราวจะใส่ไว้เป็นเวลา 1 เดือน จากนั้นสามารถนำห่วงอนามัยออกในเวลาใดก็ได้ที่สะดวก หรือหากประสงค์จะคุมกำเนิดต่อไปสามารถใส่ห่วงไว้เช่นเดิมได้ ห่วงอนามัยหุ้มทองแดงบางชนิดใช้คุมกำเนิดระยะยาวได้นาน 10-12 ปี ซึ่งค่าใช้จ่ายเท่ากันไม่ว่าจะใส่ห่วงอนามัยเป็นเวลา 1 เดือนหรือ 12 ปี
ผลไม่พึงประสงค์ของห่วงอนามัย
ผลไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการใส่ห่วงอนามัยเพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉินพบได้น้อย อาการผิดปกติที่อาจพบ เช่น เจ็บและมีเลือดออกเล็กน้อยเมื่อใส่ห่วงอนามัยเข้าในโพรงมดลูกหรือเอาห่วงออก ปวดเกร็งท้อง เกิดการติดเชื้อและการอักเสบของอุ้งเชิงกราน ห่วงอนามัยหลุด เกิดการบาดเจ็บในโพรงมดลูก มีประจำเดือนมากและมานานขึ้น
การใส่ห่วงอนามัยเพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉินมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?
การใส่ห่วงอนามัยหุ้มทองแดงเป็นวิธีคุมกำเนิดฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนี้ มีความล้มเหลวหรือเกิดการตั้งครรภ์ในอัตราต่ำมากคือประมาณ 0.1% หรือน้อยกว่านี้ ใช้ได้กับกลุ่มคนที่หลากหลายรวมถึงแม่ที่ให้นมลูกและคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกิน (overweight) หรือเป็นโรคอ้วน ห่วงอนามัยหุ้มทองแดงไม่มีฮอร์โมนจึงปลอดจากผลไม่พึงประสงค์รวมถึงปฏิกิริยาระหว่างยาที่พบเมื่อรับประทานยาเลโวนอร์เจสเตรลซึ่งเป็นฮอร์โมน และสามารถใส่ห่วงอนามัยต่อไปเพื่อการคุมกำเนิดระยะยาวได้ อย่างไรก็ตามมีความไม่สะดวกเนื่องจากการใส่ห่วงอนามัยหรือการเอาห่วงออกทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน นอกจากนี้อาจเกิดผลไม่พึงประสงค์ เช่น อาการเจ็บและมีเลือดออกเล็กน้อยเมื่อใส่ห่วงอนามัยเข้าในโพรงมดลูกหรือเอาห่วงออก ปวดเกร็งท้อง อาจเกิดการติดเชื้อและการอักเสบของอุ้งเชิงกราน รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการใส่ห่วงอนามัยเพื่อคุมกำเนิดฉุกเฉินแสดงไว้ในตารางที่ 1
-----------------
อ่านบทความต้นฉบับได้ที่นี่