ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19
วัคซีนโควิด-19 มีส่วนช่วยในการป้องกันไวรัสและช่วยลดอาการความรุนแรงจากการติดเชื้อได้ สามารถฉีดได้แม้เคยได้รับเชื้อและรักษาหายแล้ว ทั้งนี้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรได้รับวัคซีนก่อน ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หากรับวัคซีนแล้วมีอาการรุนแรง เช่น มีผื่นแดง คลื่นไส้อาเจียน หอบเหนื่อยคัดจมูก ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ และความดันลดควรปรึกษาแพทย์และเลี่ยงการรับวัคซีนยี่ห้อเดิมในเข็มที่ 2
1. ทำไมจึงควรฉีดวัคซีนโควิด-19
ในภาวะการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กินเวลามาอย่างยาวนาน หากติดเชื้อไวรัสจะทำให้มีอาการไข้ขึ้นสูง ปวดเมื่อยตามตัว ไอแห้ง หายใจลำบาก หากรุนแรงถึงขั้นปอดติดเชื้อหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากอาการอื่น ๆ จะทำให้เสี่ยงเสียชีวิตได้มากขึ้นหากไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 นอกจากนี้การรับวัคซีนยังมีประโยชน์อีก ดังนี้
- อันตรายจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่มีการค้นพบเชื้อไวรัสโควิด-19 มาจนถึงปัจจุบันพบว่ามีการกลายพันธุ์เป็นชนิดต่าง ๆ อยู่หลายชนิดที่มีความรุนแรงมากขึ้น และสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าแต่ก่อนอย่างมาก เช่น สายพันธุ์อินเดีย สายพันธุ์อังกฤษ และสายพันธุ์แอฟริกา เป็นต้น ด้วยการกระจายและความรุนแรงที่มากขึ้นของไวรัสเหล่านี้จึงควรฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
- ลดอันตรายจากอาการรุนแรง ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีวัคซีนโควิด-19 ที่ป้องกันเชื้อไวรัสได้ 100 % แต่การฉีดวัคซีนโควิด-19 ไว้ก่อนนั้นจะสามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ส่งผลให้ลดความเสี่ยงต่ออาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตด้วย
- อ่านผลข้างเคียงเมื่อต้องฉีดวัคซีนโควิดแอสตร้าเซนเนก้า
2. ใครบ้างที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19
ทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีน แต่ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 เนื่องจากยังไม่มีผลการวิจัยยืนยันว่าควรฉีดหรือไม่ นอกจากวัคซีน Pfizer-BioNTech ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าสามารถฉีดให้กับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป และเนื่องจากปริมาณวัคซีนที่มีจำกัดการฉีดวัคซีนจึงต้องมุ่งเน้นให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงก่อน ได้แก่
- บุคลากรทางการแพทย์ทั้งภาครัฐและเอกชน หรือเจ้าหน้าที่เสี่ยงต่อการสัมผัสกับเชื้อไวรัส
- ผู้ป่วยกลุ่มโรคความเสี่ยงสูง ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือดเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคระบบประสาท โรคมะเร็ง และโรคเบาหวานโรคอ้วน
- ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
สำหรับผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มความเสี่ยงสูงสามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้เมื่อปริมาณวัคซีนมีจำนวนมากขึ้น
3. ข้อควรรู้ในการรับวัคซีนโควิด-19 แต่ละกลุ่มโรค
- ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด : หากเป็นผู้ป่วยเสี่ยงอาการอันตรายต่อชีวิตสูง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันเฉียบพลัน และภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เป็นต้น จำเป็นต้องรอให้อาการคงที่และดีขึ้นจนอยู่ในระดับปลอดภัยต่อการรับวัคซีนโควิด-19 หากพบว่ามีความดันโลหิตสูงต้องทำการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 กรณีผู้ป่วยรักษาตัวด้วยการทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเพื่อเพิ่มความระมัดระวังในการรับวัคซีน
- ผู้ป่วยโรคระบบประสาท : ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดง โรคภูมิคุ้มกันระบบประสาท และโรคลมชักสามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้ ผู้ป่วยต้องมีอาการคงที่ในระดับที่ไม่อันตรายติดต่อกันมาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ หากมีการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนรับวัคซีน
- ผู้ป่วยโรคมะเร็ง : หากผู้ป่วยรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์เม็ดเลือด ต้องทำการเว้นระยะฉีดวัคซีนโควิด-19 ขั้นต่ำ 3 เดือนขึ้นไป กรณีเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด ควรรับวัคซีนหลังทำการผ่าตัดไปแล้วอย่างน้อย 3 วัน
- ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง : ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้น และโรคหอบหืดที่ควบคุมได้ไม่ดีสามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้หลังอาการกำเริบ 2-4 สัปดาห์
- ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง : ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังหรือมีการฟอกเลือด ปลูกถ่ายไต หรือล้างไตทางช่องท้องสามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้ หากผู้ป่วยทานยากดภูมิคุ้มกันให้แจ้งแพทย์ก่อนทำการฉีดวัคซีน
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอ้วน : สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานที่สามารถควบคุมอาการได้ และเป็นโรคอ้วนสามารถเขารับวัคซีนโควิด-19 ได้ กรณีเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้ และผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ต้องรับอินซูลินต้องแจ้งแพทย์ก่อนรับวัคซีนโควิด-19
กรณีผู้สูงอายุตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป และประชาชนทั่วไปหากไม่มีความเสี่ยงโรคดังกล่าวตามที่กล่าวไปสามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้ตามปกติ
4. วัคซีนโควิด-19 มียี่ห้ออะไรบ้าง
การป้องกันเชื้อไวรัสด้วยวัคซีนมีอยู่ด้วยกันหลายยี่ห้อ วัคซีนทั้งหมดสามารถลดอาการรุนแรงจากเชื้อไวรัสได้ โดยทางโรงพยาบาลเพชรเวชขอยกตัวอย่างวัคซีนที่เป็นที่คุ้นเคยหรือรู้จักกันดี ดังนี้
- วัคซีนโควิด-19 BioNTech/Pfizer ฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์
- วัคซีนโควิด-19 Sinovac ฉีด 2 เข็มห่างกัน 2 สัปดาห์
- วัคซีนโควิด-19 Moderna ฉีด 2 เข็มห่างกัน 4 สัปดาห์
- วัคซีนโควิด-19 Sinopharm ฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์
- วัคซีนโควิด-19 Oxford-AstraZeneca ฉีด 2 เข็มห่างกัน 4-12 สัปดาห์
- วัคซีนโควิด-19 Johnson & Johnson ฉีด 1 เข็ม
5. วัคซีนโควิด-19 มีกี่ชนิด
วัคซีนโควิด-19 ที่เห็นอยู่ทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดหลักตามรูปแบบการผลิต ได้แก่
- วัคซีนโควิด-19 Viral vector vaccines เป็นวัคซีนที่ใช้ไวรัสอ่อนแรง และไม่สามารถแพร่กระจายมาเป็นพาหะในการผลิต จึงทำให้เราไม่ป่วยหากรับวัคซีนชนิดนี้ ในกระบวนการนี้ร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อต้านไวรัสคล้ายกับการจำลองการติดเชื้อเพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันมากยิ่งขึ้น วัคซีนที่ใช้วิธีนี้ในการผลิต เช่น วัคซีน Oxford-AstraZeneca วัคซีน Johnson & Johnson และวัคซีน Sputnik V
- วัคซีนโควิด-19 mRNA vaccines จากสารพันธุกรรมไวรัส SARS-CoV-2 เพื่อให้เกิดโปรตีนหนามในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายของผู้ที่ได้รับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเป็นวิธีเดียวกันกับที่เคยใช้พัฒนาปรับปรุงวัคซีนอีโบลา วัคซีนที่ใช้วิธีนี้ในการผลิต เช่น วัคซีน Moderna และ วัคซีน BioNTech/Pfizer
- วัคซีนโควิด-19 Inactivated vaccines ผลิตจากเชื้อ SARS-CoV-2 ที่ตายแล้ว เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน มีต้นทุนการผลิตในระดับสูง ต้องใช้ความระมัดระวังและใช้เวลานานในการผลิต วัคซีนที่ใช้วิธีนี้ เช่น วัคซีน Sinopharm และวัคซีน Sinovac
- วัคซีนโควิด-19 Protein-based vaccines จากโปรตีนของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ร่วมกับสารกระตุ้นภูมิ เมื่อวัคซีนเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกัน วัคซีนที่ใช้วิธีนี้ในการผลิต เช่น วัคซีน Novavax เป็นต้น
วัคซีนเหล่านี้ส่วนมากต้องได้รับการฉีด 2 เข็ม และยังไม่มีรายงานว่าสามารถฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อได้หรือไม่ ในส่วนนี้ต้องติดตามผลการวิจัยต่อไป
6. ระยะเวลาการป้องกันจากวัคซีนโควิด-19
ยังไม่มีการยืนยันระยะเวลาการทำงานของวัคซีนโควิด-19 เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย แต่มีการคาดการณ์ว่าวัคซีนจะมีประสิทธิภาพอย่างต่ำ 6 เดือน แต่ระยะเวลาที่กล่าวไปต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านร่างกายส่วนบุคคล การรับเชื้อก่อนร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันจากวัคซีน และการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่วัคซีนจะทำงานได้ดีที่สุดหลังฉีดเข็มที่ 2 ไปแล้ว 14-28 วัน
7. วัคซีนโควิด-19 ควรฉีดพร้อมกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่หรือไม่
วัคซีนโควิด-19 ไม่ควรฉีดพร้อมกับวัคซีนอื่นเนื่องจากหากมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นจะทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่ามาจากวัคซีนตัวไหน ควรฉีดให้ห่างกันอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นต้องฉีดวัคซีนทันทีเพื่อความปลอดภัย เช่น วัคซีนพิษสุนัขบ้าเมื่อถูกสุนัขกัด เป็นต้น
8. ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด-19
หลังได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันอาการหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละตัวบุคคลจึงควรเฝ้าดูอาการหลังจากฉีดวัคซีนในสถานพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที โดยอาการที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้
- อาการไม่รุนแรงจากการรับวัคซีนโควิด-19 : มีไข้อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ และมีอาการบวมแดงที่บริเวณจุดฉีดวัคซีน หากมีอาการเหล่านี้ถือว่าอาการไม่รุนแรงสามารถรับวัคซีนเข็มที่ 2 ได้ตามปกติ
- อาการรุนแรงจากการรับวัคซีนโควิด-19 : มีผื่นแดงขึ้นตามตัว คลื่นไส้อาเจียน หอบเหนื่อยคัดจมูก ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ และความดันลด หากมีอาการเหล่านี้อาจต้องพิจารณาการให้วัคซีนเข็มที่ 2 ยี่ห้ออื่นที่มีส่วนผสมแตกต่างจากวัคซีนเข็มแรก
9. ก่อนเข้ารับวัคซีนโควิด-19 ควรแจ้งอะไรบ้าง
- มีอาการหรือเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1
- หากมีไข้ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปต้องแจ้งแพทย์ทุกครั้ง
- แจ้งประวัติการแพ้ยา อาหาร สารก่อภูมิแพ้ และวัคซีนก่อนรับวัคซีนโควิด-19
- สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ อยู่ในช่วงให้นมลูก หรือต้องการมีบุตร
- มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกันอยู่ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับวัคซีนโควิด-19
- มีอาการเจ็บป่วยถึงแม้จะเล็กน้อยก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
- มีภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือมีรอยเลือดช้ำตามร่างกาย
ถึงแม้การรับวัคซีนโควิด-19 จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100 % แต่เป็นทางเลือกที่ดีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยง และลดความรุนแรงของอาการป่วยเมื่อติดเชื้อ หากได้รับวัคซีนแล้วยังต้องปฏิบัติตามมาตรการสังคมเพื่อลดความเสี่ยงของตนเองและผู้อื่นด้วย
ขอขอบคุณที่มาข้อมูล : โรงพยาบาลเพชรเวช
https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/COVID-19-Vaccines